GIT LIbrary Admin
18 Jan 2021 772เมื่อการเลือกซื้อแหวนมีอะไรมากกว่าที่คิด... นอกจากจะให้ความสำคัญกับรูปทรงของอัญมณี และรูปแบบของการเจียระไนแล้ว เราอาจจะต้องศึกษาถึง องค์ประกอบและโครงสร้างของแหวน เพื่อนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อแหวน และส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของแหวนนั่นก็คือ "ก้านแหวน" ที่ผู้ซื้อสามารถเลือกดีไซน์ให้เหมาะกับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล โดยได้อ้างอิงตามหนังสือ The Basics of Jewelry by Stuller ไว้ดังนี้
ก้านแหวน (SHANK) เป็นส่วนโค้งของแหวนที่โอบรอบนิ้วของผู้สวมใส่ อาจจะทำจากทอง 18K แพลทินัม หรือเงิน โดยประเภทหรือรูปแบบของก้านแหวนที่คุณเลือกจะส่งผลต่อการออกแบบและรูปลักษณ์โดยรวมของแหวน สามารถออกแบบได้หลากหลาย จะเป็นก้านแหวนแบบธรรมดาหรือประดับด้วยอัญมณีด้านข้าง ก็สามารถเพิ่มความโดดเด่นให้กับแหวนได้เป็นอย่างดี
แบบดั้งเดิม (Traditional)
ก้านแหวนแบบดั้งเดิม กลมมนเรียบๆ ตรงๆ สไตล์ดั้งเดิมทั้งด้านในและด้านนอก รูปทรงสุดคลาสสิก สวยฮิตตลอดกาล เป็นวงกลมที่สมบูรณ์แบบเมื่อมองจากด้านข้าง ทั้งยังเป็นที่นิยมและพบมากที่สุดในการออกแบบแหวนหมั้นเพชร
แบบยูโร (Euro-Style)
ก้านแหวนแบบยูโรสไตล์ ส่วนฐานของแหวนมีลักษณะเป็นเหลี่ยมหรือแบนที่ขอบด้านนอกของวงแหวนเท่านั้น ส่วนด้านในยังคงเรียบโค้งมนเหมือนก้านแหวนแบบดั้งเดิม (Traditional) สามารถออกแบบเพิ่มเติมได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับใช้ออกแบบแหวนขนาดใหญ่ ที่มีน้ำหนักมาก จะช่วยประคองไม่ให้ตัวแหวนหมุนหรือเอียงไปด้านข้าง
แบบชู (Cathedral)
ก้านแหวนแบบชู ที่เลียนแบบมาจากสถาปัตยกรรมของมหาวิหารโบราณ อัญมณีตรงกลางถูกหุ้มด้วยหนามเตย ปลายทั้งสองของก้านยกให้สูงขึ้น เพื่อสร้างส่วนโค้งที่ด้านล่างของอัญมณี โดยเน้นให้เห็นถึงความงดงามและความโดดเด่นของอัญมณีเม็ดกลาง ทำให้อัญมณีดูมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นการออกแบบที่ดูภูมิฐาน คลาสสิกที่สุดในบรรดาก้านแหวนทั้งหมด
แบบตรง (Straight)
ก้านแหวนแบบตรง เป็นก้านแหวนที่มีขนาดและความกว้างที่เท่ากันตลอดทั้งวง ตั้งแต่ฐานไปจนถึงด้านบนของก้านแหวน สามารถออกแบบให้เป็นก้านเรียบๆ หรือประดับอัญมณีก็ได้ เน้นการออกแบบที่เรียบง่าย สไตล์คลาสสิก ช่วยให้อัญมณีที่ประดับตรงกลางดูโดดเด่น
แบบเรียว (Tapered)
ก้านแหวนแบบเรียว ปลายก้านแหวนด้านบนที่ติดอยู่กับอัญมณีเม็ดกลาง จะมีความกว้างและหนากว่าส่วนฐานด้านล่างของแหวน เหมาะสำหรับอัญมณีที่มีขนาดใหญ่ เพราะจะทำให้อัญมณีดูมีขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถรักษาสมดุลแหวนทั้งวงให้ดูสมมาตร
แบบเรียวกลับด้าน (Reverse Tapered)
ก้านแหวนแบบเรียวกลับด้าน โดยปลายก้านแหวนที่ติดอยู่กับส่วนอัญมณีตรงกลางจะแคบ และบางกว่าส่วนฐานล่างของแหวน หรือมีเนื้อโลหะที่โค้งเว้าลงไป ทำให้สามารถสะท้อนกับแสงไฟ เป็นรูปแบบสุดคลาสสิกที่พบเห็นได้บ่อยในดีไซน์แหวนหมั้น
แบบแฟลร์ (Flair)
ก้านแหวนแบบแฟลร์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับก้านแหวนแบบเรียว (Tapered) แต่ต่างกันตรงที่ส่วนปลายก้านแหวนที่ติดกับอัญมณีจะมีขนาดกว้างและโค้งออกไปด้านข้าง แหวนบางวงอาจจะสลักเป็นลวดลายต่างๆ หรือเป็นตราประจำตระกูล ส่วนใหญ่จะพบในแหวนโบราณสไตล์ยุโรป หรือแหวนผู้ชายสไตล์วินเทจ
แบบบีบ (Pinched)
ก้านแหวนแบบบีบ มีก้านแหวนด้านบนกว้าง โดยที่ปลายก้านแหวนที่อยู่ติดกับอัญมณีเม็ดกลาง ที่จะถูกบีบให้โค้งเข้าด้านในเล็กน้อย ส่วนฐานล่างของแหวนจะเรียวบาง ส่วนมากพบในดีไซน์แหวนสไตล์วินเทจ เพิ่มความหรูหราและสง่างามให้กับแหวนได้เป็นอย่างดี
แบบบายพาส (Bypass)
ก้านแหวนแบบบายพาส โดยก้านแหวนมีลักษณะปลายเปิดโดยแต่ละข้างมีการบิดขึ้นหรือลงไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกัน ทำให้ก้านแหวนมีลักษณะขนานกันในแนวเฉียงโอบล้อมด้านข้างของอัญมณีเม็ดกลางหรือสามารถออกแบบให้มีอัญมณีอยู่ที่ปลายก้านทั้งสองก็ได้ จึงเป็นการออกแบบให้ดูมีความลื่นไหล พริ้วไหว โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แบบแยก (Split)
ก้านแหวนแบบแยก โดยที่ปลายของก้านแยกออกเป็น 2 ส่วน โอบรอบเพื่อประคองอัญมณีเม็ดกลาง ทำให้ดูโปร่ง เป็นการออกแบบที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน เนื่องจากต้องทำให้ปลายแยกออกก่อนที่จะบรรจบกับอัญมณีที่ด้านบนสุดของแหวน แต่สามารถปรับเปลี่ยนการออกแบบก้านแยกเป็นแบบไขว้หรือบิดเกลียว เพิ่มลูกเล่นให้แหวนดูโดดเด่นและสวยงามมากยิ่งขึ้น
แบบรูปทรงอิสระ (Freeform)
ก้านแหวนแบบรูปทรงอิสระ เป็นรูปแบบที่ไม่มีการกำหนดโครงสร้างหรือรูปทรงใดๆ ที่ชัดเจน แต่จะเป็นรูปแบบใดก็ได้ไม่จำกัดเป็นการออกแบบให้แตกต่างจากรูปทรง หรือรูปแบบโครงสร้างในแบบเดิมๆ เป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครและแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง