MELO PEARL : สุดยอดไข่มุกสีส้มพาสเทลที่นักสะสมถวิลหา
Melo Pearl คืออะไรและทำไมจึงล้ำค่า?
เมโล เพิร์ล (Melo Pearl) หรือที่เรียกว่าไข่มุกเมโลนั้นจัดเป็นไข่มุกธรรมชาติ (Natural Pearl) ชนิดหนึ่ง เกิดจากหอยทากทะเลขนาดใหญ่ (Sea Snail) ที่เรียกว่า หอยสังข์ทะนาน (Indian Volute or Bailer Shell) เป็นหอยฝาเดียวอยู่ในวงศ์หอยจุกพราหมณ์ หรือหอยสังข์ทะนาน (Family Volutidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melo Melo หรือชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกกัน เช่น หอยกระโจงโดง หอยสังข์ทะนาน หอยลำโพง หอยตาล หอยสังข์เหลือง สีส้มพาสเทลสดใสที่เห็นอยู่นี้เกิดจากการรังสรรค์ความงดงามตามธรรมชาติ จึงทำให้ไข่มุกเมโลเป็นหนึ่งในบรรดาไข่มุกที่ "หายาก" และมีราคาแพงที่สุดในโลก และยังเป็นสุดยอดไข่มุกสีส้มพาสเทลที่นักสะสมไข่มุกทั่วโลกถวิลหา
แล้วไข่มุกเมโลหายากแค่ไหน?
เนื่องจากไข่มุกเมโลเป็นไข่มุกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเท่านั้น หอยสังข์ทะนาน เพียง 1 ในหลายพันตัวเท่านั้น ที่จะพบไข่มุกที่มีคุณภาพระดับที่ใช้เป็นอัญมณีได้ และโอกาสที่จะเจอไข่มุกมีเฉดสีส้มที่สมบูรณ์แบบก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย
ไข่มุกเมโลอาจพบเห็นได้บ่อยบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ งานประมูลครื่องประดับหรูหรา หรือเครื่องประดับที่เหล่าเซเลบริตี้นิยมมีไว้ในครอบครอง แต่กลับไม่ค่อยพบเห็นได้ตามร้านจิวเวลรี่ทั่วไป ไข่มุกเมโลขึ้นชื่อเรื่องผิวที่มันวาวเรียบเนียน ดูนุ่มนวลราวกับกระเบื้องเคลือบ มีลวดลายบนผิวตามธรรมชาติคล้ายเปลวไฟ (Flame Structure) ที่สวยงามและมีสีสันที่โดดเด่นแปลกตาเป็นเอกลักษณ์ ด้วยความหายากและมูลค่าที่สูงล้ำของไข่มุกเมโล จึงทำให้เป็นไข่มุกอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก มาดูกันว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ไข่มุกชนิดนี้หายากและมีราคาสูงลิบลิ่วในตลาดอัญมณี
Melo Pearl มาจากไหน?
ไข่มุกเมโล (Melo Pearl) ไข่มุกที่ผลิตจากหอยสังข์ทะนาน (Melo Melo) หรือหอยโข่งเหลือง เป็นหอยทะเลวงศ์ Volutidae ชั้นหอยฝาเดียว (Gastopoda) และยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อหอยลำโพง หรือ หอยตาล (Indian volute หรือ Bailer Shell) เป็นหอยทะเลขนาดใหญ่ที่มักอาศัยอยู่ตามดินเลนของน่านน้ำเขตร้อนที่ความลึกประมาณ 10 เมตร ในประเทศพม่า เวียดนาม กัมพูชา และประเทศไทย โดยตามเอกสาร Pearl Book ของสมาพันธ์เครื่องประดับโลก หรือ CIBJO ระบุว่ามีชนิดของหอยที่แตกต่างตามแหล่งที่พบออกเป็น 5 สายพันธุ์ ดังนี้
- Melo Aethiopica พบในทะเลแถบปาปัวนิกินี (อินโดนิเซีย)
- Melo Amphora พบในแถบทะเลทางเหนือของออสเตรเลีย
- Melo Broderipii พบในแถบทะเลของฟิลิปปินส์
- Melo Georginae พบในแถบทางใต้ของ ควีนส์แลนด์
- Melo Melo พบในแถบทะเลจีนใต้และอันดามัน
Melo Pearl เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ไข่มุกเมโลเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับไข่มุกชนิดอื่นๆ ก็คือเมื่อมีเศษทรายเล็กๆ หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในตัวของหอยและเกิดการระคายเคือง หอยสังข์ทะนานจะหลั่งสารประกอบคาร์บอเนตมาล้อมรอบสิ่งแปลกปลอมนั้นไว้ มีลักษณะเป็นชั้นผลึกที่เป็นเส้นๆ ค่อยๆ กลายเป็นไข่มุกเมโล และก็เช่นเดียวกับไข่มุกหอยสังข์ราชินี ไข่มุกเมโล ยังไม่สามารถผลิตได้ด้วยการเพาะเลี้ยงด้วยฝีมือมนุษย์ ซึ่งหมายความว่า ไข่มุกชนิดนี้เกิดได้เองตามธรรมชาติเท่านั้น จึงทำให้ไข่มุกชนิดนี้ “หายาก” และเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก แต่เมโลเพิร์ลอันเป็นที่ปรารถนามากที่สุดของนักสะสมทั้งหลาย คือ เมโลเพิร์ลสีส้มสดใสที่มีริ้ว “เปลวไฟ” บนผิวที่ชัดเจน
ลักษณะของ Melo Pearl เป็นอย่างไร?
รูปแบบ (Formation)
ไข่มุกเมโลนั้นไม่มีชั้นมุกเป็น (Non-Nacreous) เหมือนกับไข่มุกทั่วไป แต่เกิดขึ้นจากการผสมกันระหว่าง แคลไซต์ (Calcite) และ อราโกไนท์ (Aragonite) ทำให้มีพื้นผิวที่เรียบเนียนเหมือนกระเบื้องเคลือบ มีความคล้ายคลึงกับไข่มุกหอยสังข์ (Conch Pearl) ซึ่งไม่มีชั้นมุกเช่นกัน
ขนาด (Size)
ไข่มุกเมโลมีมากมายหลายขนาด ขนาดใหญ่ก็มีเช่นกัน โดยมีรายงานว่าเคยพบไข่มุกเมโลขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากถึง 397.52 กะรัต ซึ่งมีขนาดประมาณ 3 ใน 4 เท่าลูกกอล์ฟ
สี (Color)
สีของไข่มุกเมโลมีตั้งแต่สีเหลืองอ่อน สีส้ม ไปจนถึงสีส้มเข้มจนน้ำตาล แต่สีที่ดีที่สุดและสีที่มีมูลค่ามากที่สุดคือ สีส้ม พบในทะเลจีนใต้และทางตะวันตกของทะเลอันดามันนอกชายฝั่งประเทศพม่า ซึ่งความหายากและความพิเศษของสีในไข่มุกเมโลจะยิ่งทำให้ไข่มุกสวยงามมีเสน่ห์ และทำให้มีมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ข้อควรระวังก็คือ สีไข่มุกเมโลจะจางลงเมื่อโดนแสงแดดหรือแสง UV เป็นเวลานาน
รูปทรง (Shape)
โดยทั่วไปแล้วไข่มุกเมโลจะมีลักษณะเป็นทรงกลมอย่างสมบูรณ์แตกต่างจากไข่มุกหอยสังข์ (Conch Pearl) ที่พบได้ทุกรูปทรง ไข่มุกเมโลมักไม่ค่อยพบในรูปทรงอื่นๆ แต่บางครั้งอาจพบรูปทรงที่เป็นวงรีอยู่บ้าง
ความแข็งและความคงทน (Hardness and Durability)
ไข่มุกเมโลมีความแข็งกว่าไข่มุกทั่วไป คือมีค่าความแข็งเท่ากับ 2.5 – 4 ตามสเกลของโมส์ ซึ่งทำให้มุกชนิดนี้เป็นอัญมณีที่มีความทนทาน และสามารถอยู่ได้นานมากกว่า 5 ปี หากได้รับดูแลอย่างสม่ำเสมอ
ความมันวาว (Luster)
ความแวววาวของไข่มุกเมโลนั้น มีความเรียบเนียน สะท้อนแสงดูนุ่มนวลเหมือนกับกระเบื้องเคลือบ คุณลักษณะนี้เรียกว่า “Porcellaneous Luster” แต่เมื่อผ่านเวลาผ่านไปความความวาวนี้อาจลดลงหรือหายไป แต่สามารถทำให้ผิวไข่มุกมันเงาขึ้นได้อีกครั้งด้วยการขัด
น้ำหนัก (Carat Weight)
ไข่มุกทั่วไปส่วนใหญ่มีหน่วยวัดขนาดเป็นมิลลิเมตร แต่ไข่มุกเมโลนั้นจะมีหน่วยวัดน้ำหนักเป็นกะรัตเหมือนกับเพชร
โครงสร้างของเปลวไฟ (Flame Structure)
หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจที่สุดของไข่มุกเมโล นั่นก็คือ “เปลวไฟ” ที่เปล่งประกายบนผิวอันเป็นเอกลักษณ์ของ ไข่มุกเมโล มีลักษณะเหมือนกับริ้วของเปลวไฟเป็นคลื่นไปทั่วพื้นผิวของไข่มุก ซึ่งขนาด ระดับความอิ่มตัวของสี และความลึกของ "เปลวไฟ" นั้นจะขึ้นอยู่กับอายุของหอยด้วย และเมื่อมองบางมุมอาจจะสังเกตเห็นเอฟเฟกต์ตาแมว (Chatoyancy) ซึ่งยิ่งถ้ามีเปลวไฟที่เข้มและชัดเจนมากเท่าไร ไข่มุกเมโลก็จะมียิ่งมีค่าและมีราคาแพงมากขึ้นเท่านั้น
Melo Pearl มีมูลค่าเท่าไหร่?
ด้วยความหายากของมุกชนิดนี้ จึงไม่มีมาตรฐานในการประเมินราคาไข่มุกเมโล การตั้งราคาจึงขึ้นอยู่กับบุคคลผู้ครอบครองไข่มุกเม็ดนั้นๆ และประเมินจากคุณภาพของไข่มุก โดยประเมินได้จากรูปร่าง สี ความวาว และน้ำหนัก ในอดีตไข่มุกเมโลได้รับความนิยมอย่างมากในเอเชีย ทำให้ไข่มุกเมโลบางเม็ดมีมูลค่าสูงถึงหลายพันดอลลาร์ แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไข่มุกเมโลได้กลายเป็นไข่มุกที่เหล่าบรรดานักสะสมไข่มุกจากทั่วโลกถวิลหาและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในประเทศตะวันตกมากกว่า เมื่อนำไข่มุกเมโลมาประกอบทำเป็นเครื่องประดับ ก็จะสามารถเพิ่มราคาได้สูงยิ่งขึ้นไปอีก ไข่มุกเมโลยังคงเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากเป็นไข่มุกที่เป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภคที่นิยมสะสมอัญมณีอินทรีย์ที่หายากเหล่านี้ ทำให้ปัจจุบันมูลค่าของไข่มุกเมลโลต่อกะรัตสูงถึง 6,000 ถึง 17,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของไข่มุก
Mikimoto Natural Pearl Necklace (Photo Credit: http://www.thejewelleryeditor.com/)
หนังสือแนะนำสำหรับ MELO PEARL
Initially published in 1992, the "Pearl Buying Guide" was the first book to give consumers details on judging pearl quality and value. The 207 new colour photos in this updated 5th edition show new types of pearls, clasps and jewellery styles. Updated information has been provided on natural pearls, treatments, cultivation and identification techniques, and a brief chapter on antique pearl jewellery has been added. Written for both consumers and professionals, the "Pearl Buying Guide" gives step-by-step visual pointers on how to select flattering pearls that will give you maximum enjoyment. "Library Journal" described a previous edition of the "Pearl Buying Guide" as: 'An interesting and easy-to-understand guide to buying, evaluating, selecting and caring for pearls and pearl jewellery. The opening chapters point out common mistakes made when buying pearls. Other chapters focus on evaluating pearl types and shapes, lustre, nacre thickness, colour, flaws, size, and make. Additional chapters cite differences in South Sea, black, and freshwater pearls as well as imitation, natural and cultured pearls. The closing chapters highlight the proper way to care for pearls as well as creative ways to wear them. The many photographs are valuable in illustrating the characteristics of and differences among pearls. Overall the guide is useful to all types of readers'. "The San Jose Mercury News" said 'If you're thinking of investing in pearls, invest $20 first in the Pearl Buying Guide by Renee Newman. Even if you already own pearls, this book has good tips on care and great ideas on different ways to wear pearls'.
และมีหนังสือเล่มอื่นๆ เกี่ยวกับ “ไข่มุกและเครื่องประดับมุก” อีกมากมายซึ่งสามารถหาอ่านได้ที่ชั้นหนังสือ ORGANIC GEM COLLECTION และ JEWELRY DESIGN COLLECTION ภายในห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ หรือสืบค้นได้ที่ https://opac.git.or.th/Search_Basic.aspx หรือ https://elibrary.git.or.th
พิกัด: ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ ชั้น1 อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม
Reference: