หน้าหลัก

มุก : อัญมณีประจำเดือนมิถุนายน

Admin J. มิถุนายน 18, 2024 1,573 1,233


มุก (Pearl) หรือ ไข่มุก เป็นหนึ่งใน “อัญมณีที่ได้จากสิ่งมีชีวิต” ที่มีคุณค่ามากที่สุดในกลุ่มอัญมณีอินทรีย์ด้วยกัน และเป็นที่นิยมนำมาทำเครื่องประดับเป็นอย่างมาก โดย “มุก” ผลิตได้จากทั้งหอยน้ำเค็มและหอยน้ำจืด นับได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้บรรจงรังสรรค์ไว้อย่างปราณีต งดงาม ไม่ต้องผ่านการเจียระไน นอกจากจะมีความสวยงามตามธรรมชาติแล้วยังเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกถึงความนุ่มนวล อ่อนโยน สง่างาม และยังเป็นอัญมณีประจำเดือนเกิดของผู้ที่เกิดเดือนมิถุนายนอีกด้วย


มุก… อัญมณีแห่งชีวิต

“มุก” เป็น อัญมณีอินทรีย์ (Organic Gemstone) ซึ่งหมายถึง “อัญมณีที่ได้จากสิ่งมีชีวิต” ที่ไม่มีโครงสร้างเป็นผลึกเหมือนกับแร่และหิน และมีการเรียงตัวของอะตอมภายในไม่เป็นระเบียบ เรียกว่า “อสัณฐาน (Amorphous) ซึ่งจะพบได้ในอัญมณี เช่น มุก ปะการัง อำพัน ถ่านหิน และงาช้าง เป็นต้น


“มุก” เกิดในเนื้อของ “หอยมุก” ซึ่งเป็นหอยสองฝาหรือหอยฝาเดียวที่มีทั้งหอยน้ำจืดและน้ำเค็ม มุกที่เกิดตามธรรมชาติเกิดเนื่องมาจากการมีเม็ดทรายขนาดเล็กหรือเศษสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กถูกพัดพาเข้าไปภายในตัวหอยมุกแล้วทำให้ตัวหอยมุกเกิดความระคายเคืองจนหลั่งสารที่เป็นชั้นมุกที่เรียกว่า “Nacre” เป็นสารแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) และสารอินทรีย์ซึ่งเป็นโปรตีน ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ยิ่งชั้นมุกมีความหนามากมุกก็จะมีความวาวมากเท่านั้น


มุกแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือมุกธรรมชาติ (Natural Pearl) และมุกเลี้ยง (Cultured Pearl) ในกรณีของมุกเลี้ยงน้ำเค็ม สิ่งที่ทำให้เกิดความระคายเคืองในหอยมุกได้แก่ ลูกปัดกลมๆ (Bead) ที่ทำจากเปลือกหอย (Shell) ส่วนมุกเลี้ยงน้ำจืด จะใช้เนื้อเยื่อจากหอยมุกเอง (Mantle tissue) ใส่เข้าไปแทนลูกปัดเพราะหอยมุกน้ำจืดตัวเล็กกว่าหอยมุกน้ำเค็ม จึงทำให้มุกเลี้ยงน้ำจืดมีรูปร่างไม่กลมเท่าที่ควรหรือบิดเบี้ยวเล็กน้อย เรียกว่า ทรงบาโรก (Baroque) 

สีของมุกที่คุ้นเคยกันคือสีขาวเหลือบสีรุ้งเล็กน้อยจนถึงขาวนวล แต่ในธรรมชาตินั้นสามารถพบมุกได้หลากหลายมากซึ่งครอบคลุมเกือบทุกสี เช่น ชมพู เงิน ครีม ทอง เหลือง เทา และดำ เป็นต้น โดยจะขึ้นอยู่กับชนิดของหอยมุก น้ำ และสภาวะแวดล้อมในบริเวณที่หอยมุกอยู่อาศัย และในมุกบางชนิดแสดงปรากฏการณ์สีรุ้งที่เรียกว่าโอเรียนท์ (Orient) ซึ่งทำให้มุกเม็ดนั้นส่องประกายแวววาวมากขึ้น


แหล่งมุกที่สำคัญ
- มุกธรรมชาติ: อ่าวเปอร์เซีย ศรีลังกา ออสเตรเลีย ตาฮิติและทะเลใต้
- มุกเลี้ยงน้ำเค็ม: ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ตาฮิติ จีน ไทย

- มุกเลี้ยงน้ำจืด: จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริก
การเลือกซื้อมุก เบื้องต้นควรพิจารณาจาก
- ขนาดและรูปทรง สามารถพบมุกได้ทั้งทรงกลมไปจนถึงบิดเบี้ยว โดยมุกที่รูปทรงกลมสมบูรณ์ถือว่ามีค่ามาก ส่วนมุกที่รูปทรงอื่นๆ เช่น หยดน้ำ ไข่ บาโรก หรือกระดุม เหมาะกับการนำมาออกแบบให้ดูทันสมัย นอกจากนี้ ขนาดของมุกก็มีผลต่อบุคลิกและอายุของผู้ใส่อีกด้วย ดั้งนั้นถ้าเรารู้ว่าต้องการมุกขนาดและรูปร่างแบบใด จะทำให้การเลือกซื้อง่ายขึ้น
- ความวาว เกิดจากระดับความเรียบและการสะท้อนแสงบนผิวมุก มุกที่มีความวาวสูงสามารถสังเกตได้จากเงาสะท้อนซึ่งจะต้องเห็นภาพสะท้อนได้คมชัด มีความแตกต่างของเงามืดและสว่างอย่างชัดเจน และต้องหมุนมุกไปรอบๆ เพื่อดูความสม่ำเสมอของความวาวด้วย
- ความหนาของชั้นมุก การเลี้ยงมุกแบบใส่นิวเคลียสทำให้เกิดชั้นมุกซึ่งมีความหนาแตกต่างกันไป ระยะเวลาในการเลี้ยงที่แตกต่างกันก็ส่ง่ผลให้ความหนาชั้นมุกแตกต่างกันไปด้วย ชั้นมุกที่หนาจะทำให้มุกที่ได้มีความวาวสูงและทนทานมากขึ้น ซึ่งถ้าซื้อมุกที่มีใบรับรองหรือใบรับประกันจะมีการระบุความหนาของชั้นมุกให้ด้วย
- สีของมุก สีของมุกมีอยู่ 2 ส่วนคือ สีหลัก (Body Color) เป็นสีของมุกซึ่งจะมีสีขาว สีครีม สีเหลือง เป็นต้น และสีโอเวอร์โทน (Overtone Color) ซึ่งเป็นสีอื่นๆ ที่มองเห็นอยู่บนสีพื้น (สีเหลือบของมุก) อาจมีสีเขียว สีชมพู สีเงิน สีฟ้า ดังนั้นควรจะมองดูมุกด้วยแสงเดียวกับแสงกลางวัน (Daylight) หากมองดูภายใต้แสงชนิดอื่นอาจทำให้ดูมีสีที่เปลี่ยนไปได้ โดยสีจะมีผลต่อราคามุก ยิ่งมุกที่มีสีที่หายากประกอบกับความมันวาวก็จะมีราคาสูงมาก
- ความสมบูรณ์ของผิวมุก มุกที่มีผิวเรียบสม่ำเสมอจะมีค่ามากที่สุด ตำหนิที่พบได้แก่ ผิวไม่เรียบเสมอกัน จุดสี รอยบิ่น หลุม จุดด้าน รอยร้าว หรือรอยขีดข่วน

การดูแลรักษามุก
หลีกเลี่ยงสารเคมีหรือน้ำฉีดต่างๆ เนื่องจากมุกประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตและสารประกอบจำพวกโปรตีน สารเคมีจะไปทำลายชั้นผิวมุกทำให้ความวาวลดลงได้หลังสวมใส่ ควรเช็ดเครื่องประดับทุกครั้งด้วยผ้านิ่มหรือผ้าชุบน้ำก่อนเก็บ ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำ ควรเก็บแยกจากเครื่องประดับชนิดอื่นๆ เนื่องจากมุกมีความแข็งต่ำและสามารถเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย จึงไม่ควรใช้เครื่องทำความสะอาดแบบอัลตราโซนิกในการทำความสะอาดเครื่องประดับมุก สิ่งสำคัญคืออย่าให้มุกโดนแสงแดด ความชื้น ความร้อน หรือกรดที่สามารถทำให้ความแวววาวของมุกลดลงได้ นอกจากนี้ การสวมใส่เครื่องประดับมุกบ่อยๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลมุก เนื่องจากน้ำมันตามธรรมชาติในร่างกายช่วยให้มุกมีความแวววาวได้



ประวัติและความเชื่อ
“มุก” เป็นอัญมณีที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับมาตั้งแต่สมัยโบราณ จากประวัติศาสตร์พบว่ามีการค้นพบและนำมุกมาใช้ทำเครื่องประดับตั้งแต่ 4,000 ปี มาแล้ว โดยเครื่องประดับมุกที่เก่าแก่ที่สุดถูกค้นพบในสุสานเจ้าหญิงแห่งเปอร์เซียที่สวรรคตเมื่อ 520 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส

“มุก” เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญา ความบริสุทธิ์ ความมั่งคั่ง ความสงบ ความงดงาม และความสง่างามในสมัยโบราณเชื่อว่า มุกเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ ดวงจันทร์ และมีอำนาจวิเศษ ตามนิยายปรัมปราหรือตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเชื่อกันว่ามุกเป็นหยดน้ำตาแห่งความสุขของเทพธิดาที่หลั่งออกมาให้กับชะตาชีวิตของมนุษย์ ตำนานชาวอาหรับกล่าวว่า มุกเป็นหยดน้ำของดวงจันทร์ที่หอยมุกตกหลุมรัก ชาวจีนเชื่อว่ามุกมาจากสมองของมังกร ความเชื่อในทวีปอเมริกายกย่องให้มุกเป็นพลังแห่งความงามและอำนาจ ส่วนในยุคโรมันคลาสสิกมุกเป็นของหายากและมีราคาแพงมาก จึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง ขุนนาง มีเพียงชนชั้นสูงในสังคมเท่านั้นที่จะได้สวมใส่

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า “มุก” เป็นอัญมณีที่สื่อถึงความเป็น “ผู้หญิง” ที่อ่อนหวานและงดงาม เนื่องจากมุกให้ความรู้สึกที่นิ่มนวล อ่อนโยน โดยมีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของมุกกับดวงจันทร์และดาวศุกร์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า “มุก” คืออัญมณีของ “ผู้หญิง” เอาไว้เมื่อปี ค.ศ. 1913 ในหนังสือเรื่อง The Curious Lore of Precious Stones เขียนโดย จอร์จ คุนซ์ (George Kunz) นักแร่วิทยา ได้เปรียบเทียบระหว่างเพชรกับมุกไว้ ดังนี้

“The diamond is to the pearl as the sun is to the moon, and we might well call one the “king-gem” and the other the “queen-gem.” The diamond, like a knight of old — brilliant and resistant, is the emblem of fearlessness and invincibility; the pearl, like a lady of old — pure and fair to look upon, is the emblem of modesty and purity”

ความเชื่อของสี “มุก” โดยมุกแต่ละสีมีความหมาย ดังนี้
⚪️ มุกสีขาว สื่อถึงความบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสา และความเรียบง่าย เกี่ยวข้องกับการหมั้นและการแต่งงาน
⚫️ มุกสีดำ สื่อถึงพลังอำนาจ ความแข็งแกร่ง และความหรูหรา 
🟤 มุกสีน้ำตาล สื่อถึงความน่าเชื่อถือ มุ่งมั่น และจริงจัง 
🔴 มุกสีชมพู เป็นตัวแทนของความเป็นผู้หญิงและความรักเกี่ยวข้องกับความโรแมนติกและงานแต่งงาน 
🔵 มุกสีน้ำเงิน สื่อถึงความไว้วางใจ ความศรัทธา และความซื่อสัตย์ เป็นสัญลักษณ์ของมหาสมุทรและท้องฟ้า 
🟣 มุกสีม่วง สื่อถึงความหรูหราและความความมั่งคั่ง 
🟡 มุกสีเหลือง สื่อถึงความสุข ความสุข และแสงแดด เกี่ยวข้องกับพลังงานเชิงบวกและการเริ่มต้นใหม่ 
🟢 มุกสีเขียว สื่อถึงการเติบโตและการเริ่มต้นใหม่ เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตใหม่

มุกที่มีชื่อเสียงของโลก
-  The Pearl of Allah (มุกแห่งอัลลอฮ์) ในปี 1934 มีรายงานว่าพบมุกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เดิมเรียกว่า “มุกแห่งอัลลอฮ์” (The Pearl of Allah) หรือเรียกกันว่า “มุกแห่งเล่าจื๊อ” (Pearl of Lao Tzu) ถูกพบโดยนักประดาน้ำที่นอกชายฝั่งของเกาะปาลาวันในประเทศฟิลิปปินส์ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 24 เซนติเมตร (9.45 นิ้ว) และมีน้ำหนัก 6.4 กิโลกรัม (หรือประมาณ 14.2 ปอนด์) มีรูปทรงบิดเบี้ยวแบบบาโรก (Baroque) โดยมุกชิ้นนี้มีรูปร่างค่อนข้างแปลกประหลาด ซึ่งดูเหมือนกับผู้ชายไว้ผมยาว มีผ้าโพกหัว และมีหนวดเครา เหมือนกับใบหน้าของท่านศาสดามูฮัมหมัด โดยในปี 1939 วิลเบิร์น ดูเวลล์ คอบบ์ (Wilburn Dowell Cobb) นักโบราณคดีชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ ได้นำมุกชิ้นนี้กลับมาที่ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และได้นำไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ริริบลีส์ บีลีฟ อิท ออร์ นอท (Ripley's Believe It or Not! Museum) บนถนนบรอดเวย์ ซึ่ง ”มุกแห่งอัลลอฮ์” ได้ถูกเรียกกันในชื่อใหม่ว่า “มุกแห่งเล่าจื๊อ” ที่สาบสูญ โดยนักอัญมณีศาสตร์ที่ชื่อว่า Michael Steenrod ได้ประเมินราคามุกที่ 60,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ (1982) และ 93,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ (2550) การประเมินอีกครั้งในปี 1982 โดย Lee Sparrow ซึ่งเป็นเจ้าของห้องปฏิบัติการอัญมณีซานฟรานซิสโก (San Francisco Gem Laboratory) อยู่ที่ 42,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ

-  La Peregrina Pearl (มุกลาเปเรกริน่า) มุกรูปลูกแพร์ขนาดใหญ่ที่สุด น้ำหนักเกือบ 56 กะรัต (ประมาณ 11 กรัม) มีประวัติอันยาวนาน ถูกค้นพบนอกชายฝั่งหมู่เกาะในอ่าวในช่วงทศวรรษ 1500 อยู่ในความครอบครองของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน ซึ่งต่อมาได้ถูกมอบให้กับควีนแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ โดยชื่อ “La Peregrina” แปลว่าผู้พเนจร หลังจากควีนแมรีที่ 1 สิ้นพระชนม์ มุกเม็ดนี้ก็ตกไปเป็นของราชินีองค์อื่นๆ ของฝรั่งเศสและออสเตรีย และจากนั้นก็ตกไปเป็นของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 หรือนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoléon Bonaparte) และถูกเปลี่ยนเจ้าของไปอีกหลายครั้ง จนกระทั่ง ริชาร์ด เบอร์ตัน (Richard Burton) ได้ทุ่มทุนประมูลมุกเม็ดประวัติศาสตร์นี้มาเพื่อเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ให้กับ เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ (Elizabeth Taylor) ทำให้เกิดกระแสความนิยมในการสวมใส่เครื่องประดับมุกเป็นอย่างมาก

- The Hope Pearl (มุกแห่งความหวัง) มุกธรรมชาติน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีขนาด 2 x 4 นิ้ว และมีน้ำหนัก 4 ออนซ์ (หรือเท่ากับ 0.1134 กิโลกรัม) มุกสีทองอมเขียวที่ด้านล่างไล่ไปจนถึงสีขาวบริสุทธิ์ที่ด้านบน ครอบด้วยจี้รูปมงกุฎที่ประดับด้วยทับทิม ไพลิน มรกต และเพชร ซึ่ง เฮนรี ฟิลลิป โฮบ (Henry Philip Hope) ก็เคยเป็นเจ้าของมุกเม็ดนี้และเพชรโฮป (Hope Diamond) ในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันมุกเม็ดนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของนักสะสมที่ไม่เปิดเผยตัวจากอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าของ “Pearl of Asia” (มุกแห่งเอเชีย) อีกด้วย
URL อ้างอิง:
external-site