หน้าหลัก

Victoire de Castellane ศิลปินผู้พลิกโฉม Dior Joaillerie

Admin J. เมษายน 9, 2025 24 10
เมื่อพูดถึงนักออกแบบเครื่องประดับชั้นสูง (High Jewelry) หนึ่งในชื่อที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคนหนึ่งของโลกนั่นก็คือ "Victoire de Castellane" (วิกตัวร์ เดอ คาสเตลลาน) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Dior Joaillerie เบื้องหลังความงดงามสุดตระการตาของเครื่องประดับชั้นสูงจาก Dior

ด้วยสไตล์การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ เธอได้นำเสนอการออกแบบที่เต็มไปด้วยสีสัน จินตนาการ ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ศิลปะ และเทพนิยาย ทั้งยังมีความกล้าที่จะก้าวข้าม “ความดั้งเดิม” ทำให้เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักออกแบบเครื่องประดับที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

Victoire de Castellane เกิดเมื่อปี 1962 ที่ประเทศฝรั่งเศส ในตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงของฝรั่งเศสมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยยุคกลาง เธอเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยงานศิลปะ แฟชั่น และเครื่องประดับ โดยเฉพาะคุณยายของเธอ Sylvia Hennessy (ซิลเวีย เฮนเนสซี่) ก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูง ทั้งยังมีสไตล์การแต่งตัวที่โดดเด่น และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการหล่อหลอมมุมมองด้านศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของเธอเป็นอย่างมาก 



เส้นทางสู่วงการเครื่องประดับ
เธอหลงใหลในเครื่องประดับมาตั้งแต่วัยเด็ก ในปี 1984 เธอเริ่มต้นเส้นทางอาชีพด้วยการทำงานเป็น นักออกแบบเครื่องประดับแฟชั่น (Costume Jewelry) ให้กับ Chanel (ชาแนล) ภายใต้การดูแลของ Karl Lagerfeld (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์) ผลงานของเธอฉีกกรอบจากความเรียบหรูแบบดั้งเดิมของ Chanel โดยผสมผสานวัสดุที่หลากหลาย เช่น อัญมณีเทียม (faux gems) โลหะ และลูกปัด ให้เข้ากันกับดีไซน์ที่ดูขี้เล่นและมีสีสันสดใส ซึ่งต่างจากภาพลักษณ์คลาสสิกของแบรนด์ที่เน้นโทนสีขาว-ดำ แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงรักษาสัญลักษณ์สำคัญของ Chanel ไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ไข่มุก โซ่ทอง และดอกคามิเลีย โดยนำมาตีความใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย เช่น การใช้ไข่มุกในรูปแบบที่ไม่สมมาตรหรือการผสมโซ่ทองกับวัสดุอื่นๆ ที่ทันสมัยกว่า เป็นเวลากว่า 14 ปี ที่ผลงงานของเธอมีส่วนช่วยให้ Chanel สามารถขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่คนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น โดยยังคงรักษาความเป็น “Chanel” ไว้ได้อย่างชาญฉลาด ซึ่ง Karl Lagerfeld เองก็ชื่นชมในความสามารถของเธอที่ทำให้เครื่องประดับแฟชั่นกลายเป็นส่วนสำคัญบนรันเวย์และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับ Chanel ในยุค 80s และ 90s และเป็นรากฐานที่เธอนำไปพัฒนาต่อยอดในงานเครื่องประดับชั้นสูงที่ “Dior Joaillerie” ที่ยังคงเน้นความแฟนตาซีและความยิ่งใหญ่ในระดับที่สูงขึ้นไปอีก

เส้นทางสู่ Dior Joaillerie
จุดเริ่มต้นของ Victoire de Castellane กับการทำงานที่ Dior Joaillerie (ดิออร์ ชัวเยอรี) เกิดขึ้นในปี 1998 เมื่อเธอได้รับการทาบทามจาก Bernard Arnault (เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์) ประธานกรรมการบริหารของ LVMH (เจ้าของแบรนด์ Dior) ให้มารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ (Creative Director) ของแผนกเครื่องประดับชั้นสูง (Haute Joaillerie) ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ โดย Bernard Arnault ต้องการให้ Dior ขยายกลุ่มการผลิตจากสินค้าแฟชั่นและน้ำหอมมาสู่เครื่องประดับชั้นสูง เพื่อแข่งขันกับแบรนด์หรูอื่น ๆ เช่น Cartier (คาร์เทียร์) และ Van Cleef & Arpels (แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์) เธอได้รับมอบหมายให้สร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้กับเครื่องประดับของ Dior โดยยังคงไว้ซึ่งตัวตนของ Christian Dior (คริสเตียน ดิออร์) ที่นำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ

งานออกแบบและแนวคิด
ผลงานของ Victoire de Castellane ได้รับแรงบันดาลใจจากหลากหลายแหล่ง เช่น วัฒนธรรมป๊อป โลกของดอกไม้ รวมถึงชีวิตและผลงานของ Christian Dior ที่ได้ใส่ความสนุกสนานและความแฟนตาซี โดยเลือกใช้วัสดุ อัญมณี และการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร เช่น โบว์เพชร คล้ายริบบิ้นที่คลายออก ตัวด้วงแต่งลาย หรือแหวนที่ออกแบบเหมือนดอกไม้บาน ทั้งนี้ผลงานของเธอยังได้รับอิทธิพลมาจากคุณยาย Sylvia Hennessy ที่มีสไตล์การแต่งตัวที่สมบูรณ์แบบและเปลี่ยนเครื่องประดับตามชุดที่สวมใส่



เอกลักษณ์ในการออกแบบ
  • ความแฟนตาซีและจินตนาการ: ผลงานของ Victoire de Castellane มักมีลักษณะที่เหมือนเทพนิยายหรือโลกแห่งความฝัน เช่น ดอกไม้ที่ดูเหมือนมีชีวิต เหล่าสรรพสัตว์ที่ถูกแปลงโฉมเป็นเครื่องประดับ หรือหัวกะโหลกที่ประดับด้วยมงกุฎเพชร เธอเคยกล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Interview Magazine (2012) ว่าเครื่องประดับสำหรับเธอก็คือ “โลกแห่งความสนุกสนาน” ที่ไม่จำกัดอยู่แค่การตกแต่งร่างกาย แต่เป็นการเล่าเรื่องราว
  • การใช้อัญมณีมีค่าและสีสัน: เธอเป็นที่รู้จักจากการใช้อัญมณีมีค่าที่หลากหลาย เช่น มรกต ทับทิม โอปอ และทัวร์มาลีนพาราอิบา โดยเน้นสีสันที่สดใสและการจัดวางที่ไม่สมมาตร ซึ่งแตกต่างจากเครื่องประดับแบบดั้งเดิมที่มักเน้นความสมดุล
  • เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของ Dior: เธอได้นำสัญลักษณ์ของ Christian Dior เช่น ดอกกุหลาบ (ดอกไม้โปรดของเขา) และโบว์ (จากชุด New Look) มาปรับใช้ในงานเครื่องประดับ ตัวอย่างเช่น โบว์เพชรที่ดูเหมือนริบบิ้นที่คลายออกที่มักจะใช้ในเครื่องประดับคอลเลกชันต่าง ๆ
  • ใช้เทคนิคการฝังชั้นสูง: เธอใช้เทคนิคการฝังอัญมณีที่ซับซ้อน เช่น การฝังอัญมณีแบบ “LS” (Lacquered Setting) ที่พัฒนาขึ้นในคอลเลกชัน “Belladone Island” ซึ่งทำให้อัญมณีดูเหมือนลอยอยู่ในโครงสร้างโปร่งใส ทำให้มองเห็นความงามของอัญมณีได้จากทุกมุมมอง โดยเฉพาะด้านข้างและด้านล่าง ซึ่งปกติจะถูกซ่อนในเทคนิคการฝังแบบดั้งเดิม 
ผลงานที่โดดเด่น
  • Le Bal des Roses (2011) คอลเลกชันที่มีแรงบันดาลใจมาจาก “ดอกกุหลาบ” ซึ่งเป็นดอกไม้โปรดของ Christian Dior ประกอบด้วยเครื่องประดับ 54 ชิ้น รวมถึงแหวน ต่างหู สร้อยคอ และกำไล ซึ่งแต่ละชิ้นได้รับการออกแบบให้สะท้อนถึงความหลากหลายของดอกกุหลาบ
  • Belladon Island (2007) คอลเลกชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและพฤกษศาสตร์ โดยเลือกใช้ “โอปอดิบจากเอธิโอเปีย” เป็นอัญมณีหลักที่ทำให้คอลเลกชันนี้โดดเด่น เนื่องจาก โอปอ (Opal) เป็นอัญมณีที่มีลักษณะพิเศษคือ การเล่นสี (เรียกว่า play-of-color) ซึ่งในคอลเลกชันเธอเลือกใช้โอปอที่ยังคงความหยาบตามธรรมชาติ ไม่ผ่านการเจียระไนเพื่อเน้นความดิบและความลึกลับของธีมพืชพิษและเกาะในจินตนาการ โดยเทคนิคการฝังพลอยแบบ Lacquered Setting ทำให้โอปอดูเด่นชัดยิ่งขึ้น ทำให้แสงที่ส่องผ่านชั้นเคลือบเงาโปร่งใสช่วยขับเน้นสีและพื้นผิวของโอปอให้มีมิติมากขึ้น
  • Gem Dior (2019) เปิดตัวครั้งแรกในฐานะคอลเลกชันเครื่องประดับชั้นสูงในเดือนมิถุนายน 2019 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของ Dior Joaillerie ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงสร้างของแร่ธาตุในธรรมชาติ เช่น ทัวร์มาลีนดิบ (rough tourmaline) และวิธีที่ Christian Dior จัดเรียงตัวอย่างผ้าบนกระดานสำหรับการแสดงแฟชั่นชั้นสูง โดย Victoire de Castellane อธิบายว่า “มันเหมือนกับฉันนำคอลเลกชันทั้งหมดในรอบ 20 ปีมาผสมผสานรวมกัน แล้วสิ่งที่ออกมาคือภาพนิ่งและการซูมในระยะใกล้” ซึ่งคอลเลกชันนี้แตกต่างจากคอลเลกชันก่อนหน้าที่มักมีธีมชัดเจน เช่น ดอกไม้หรือสัตว์ แต่ Gem Dior เน้นความเป็นนามธรรมและออร์แกนิก โดยไม่ยึดติดกับรูปทรงที่เป็นตัวแทน (figurative) มีการเน้นสีสันของอัญมณีมีค่าต่าง ๆ 
หนังสือและผลงานที่เกี่ยวข้อง
  • Dior Joaillerie: the A to Z of Victoire de Castellane (2020) เป็นการรวบรวมผลงานอันโดดเด่นของเธอในรูปแบบสารานุกรมทางศิลปะ โดยนำเสนอแนวคิดและแรงบันดาลใจต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังงานออกแบบของเธอ ตั้งแต่ A ถึง Z หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความงดงามของเครื่องประดับ แต่ยังสะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบของ Victoire de Castellane ที่มีความลึกซึ้งและซับซ้อน หนังสือนี้ยังช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงกระบวนการสร้างสรรค์ของเธอ ตั้งแต่การร่างภาพ การเลือกอัญมณี ไปจนถึงการสร้างชิ้นงานจริง ภาพถ่ายคุณภาพสูงในหนังสือช่วยให้เห็นรายละเอียดอันวิจิตรของเครื่องประดับแต่ละชิ้น
  • Dior Joaillerie (2012) เป็นอีกหนึ่งผลงานที่นำเสนอความงดงามของเครื่องประดับชั้นสูงจาก Dior เป็นการรวบรวมผลงานจากคอลเลกชันต่าง ๆ ที่เธอสร้างสรรค์ขึ้นตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับ Dior พร้อมเล่าเรื่องราวและแรงบันดาลใจเบื้องหลังแต่ละคอลเลกชัน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในโลกของเครื่องประดับและศิลปะจาก Dior Joaillerie หนังสือสองเล่มนี้คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะเนื้อหาที่จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกแห่งจินตนาการของ “Victoire de Castellane” และทำให้เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเป็นตำนานแห่งวงการเครื่องประดับชั้นสูงของโลก โดยหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ หาอ่านได้ที่ ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ ชั้น 1 ไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม กรุงเทพฯ

URL อ้างอิง:
external-site