Alta Gioielleria เครื่องประดับชั้นสูงที่เล่าขานความงามแห่งอิตาลี
เมื่อพูดถึงแบรนด์แฟชั่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอิตาลี “Dolce & Gabbana” คือหนึ่งในชื่อที่ต้องถูกกล่าวถึงเป็นอันดับต้น ๆ จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในมิลานเมื่อปี 1985 แบรนด์นี้ได้พัฒนาตัวเองจากสตูดิโอให้คำปรึกษาด้านแฟชั่นสู่อาณาจักรความหรูหราระดับโลกที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของศิลปะการสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า น้ำหอม แว่นตา เครื่องหนัง ไปจนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญกับการก้าวสู่วงการเครื่องประดับชั้นสูงผ่านคอลเลกชัน “Alta Gioielleria” อันโดดเด่น
จากมิลานสู่อาณาจักร Luxury Brand
การเดินทางของ Domenico Dolce (โดเมนิโก โดลเช่) และ Stefano Gabbana (สเตฟาโน กาบบาน่า) เริ่มต้นจากความรักในแฟชั่น ศิลปะ และวัฒนธรรม โดย Domenico Dolce เกิดในปี 1958 ที่ซิซิลี เติบโตในครอบครัวที่ทำธุรกิจเสื้อผ้าซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก ส่วน Stefano Gabbana เกิดในปี 1962 ที่มิลาน เริ่มต้นด้วยการศึกษาด้านกราฟิกดีไซน์ก่อนจะหันมาสนใจงานด้านแฟชั่น ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกในปี 1980 ขณะทำงานในวงการแฟชั่น ทำให้พวกเขาได้หลอมรวมวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดแบรนด์ Dolce & Gabbana (โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่า) ในปี 1985 นับได้ว่าเป็นลักเชอรีแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ที่มีส่วนผสมของซิซิเลียนที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และมิลานที่เต็มไปด้วยความร่วมสมัย
Italian Glamour: แก่นแท้ของความเป็น Dolce & Gabbana
“Dolce & Gabbana” เปิดตัวในงาน Milan Fashion Week ปี 1985 ด้วยคอลเลกชันเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงที่เปล่งประกายด้วยเสน่ห์แบบอิตาเลียนดั้งเดิม สไตล์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมซิซิลี (Sicilian Influence) อันร้อนแรง เย้ายวน และเปี่ยมด้วยอารมณ์ศิลป์ ซิกเนเจอร์อย่างชุดลูกไม้สีดำ เสื้อผ้าเซ็กซี่ และการใช้สัญลักษณ์ศาสนา ทำให้ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น จนกระทั่งในช่วงปลายทศวรรษ 80 แบรนด์นี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “Italian Glamour” อย่างแท้จริง
เอกลักษณ์ของ Dolce & Gabbana คือการสะท้อนวัฒนธรรมอิตาลี โดยเฉพาะซิซิลี (บ้านเกิดของ Domenico Dolce) ผ่านการออกแบบที่บอกเล่าเรื่องราว ใช้แรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวิถีชีวิตดั้งเดิม แบรนด์นี้เน้นความหรูหราและงานฝีมือชั้นสูง สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูกค้าผ่านค่านิยมสำคัญ เช่น ความผูกพันกับครอบครัวและบ้านเกิด
จากเสื้อผ้าสู่เครื่องประดับ: เส้นทางสู่ Alta Gioielleria
แม้ว่า Dolce & Gabbana จะมีชื่อเสียงจากแฟชั่นเสื้อผ้าและเครื่องหนัง แต่ทั้งสองดีไซเนอร์มีความหลงใหลในศิลปะแห่งการรังสรรค์ชิ้นงานที่มี “ความงามอันเป็นนิรันดร์” มาโดยตลอด นี่คือหัวใจสำคัญที่สะท้อนความเป็น Dolce & Gabbana ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะพวกเขาไม่ได้เพียงสร้างเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ แต่คือการรังสรรค์ “ศิลปะ” ที่ผสานความงามแบบอมตะเข้ากับวัฒนธรรมและอารมณ์ความรู้สึก
ในปี 2012 พวกเขาเริ่มขยายจักรวาลแห่งความงามของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวไลน์แฟชั่นชั้นสูง Alta Moda (คอลเลกชันเสื้อผ้าระดับโอตกูตูร์สำหรับผู้หญิง) และ Alta Sartoria (คอลเลกชันชุดสูทและเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย) ที่ตัดเย็บด้วยมือจากช่างฝีมือระดับประเทศ โดยจัดงานเปิดตัวแบบเฉพาะกลุ่มสำหรับลูกค้า VIP ณ สถานที่ทางประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอิตาลี อาทิ Taormina (ทาออร์มีนา) Palermo (ปาแลร์โม) และ Venice (เวนิส)
เมื่อ Alta Moda และ Alta Sartoria ประสบความสำเร็จอย่างสูง พวกเขาจึงเปิดตัว Alta Gioielleria ในปีเดียวกัน เป็นก้าวสำคัญที่ผสานความหรูหราแบบแฟชั่นเข้ากับงานฝีมือเครื่องประดับชั้นสูง คำว่า “Alta Gioielleria” (อัลตา โจเยลเลเรีย) ในภาษาอิตาลีมีความหมายว่า “เครื่องประดับชั้นสูง” หรือ “High Jewellery” ในภาษาอังกฤษ เทียบเท่ากับคำว่า “Haute Joaillerie” ในภาษาฝรั่งเศส เป็นการบ่งบอกถึงเครื่องประดับระดับสูงสุดของวงการเครื่องประดับในอิตาลี
การตัดสินใจทำเครื่องประดับของพวกเขาทั้งสองคนในครั้งนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบเครื่องประดับชั้นสูง

Alta Gioielleria: ศิลปะล้ำค่าบนความหรูหรา
ในโลกของแฟชั่นระดับไฮเอนด์ มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่สามารถนำเสนอความหรูหราผ่านวัฒนธรรม งานฝีมือ และจิตวิญญาณได้ลึกซึ้งเท่ากับ “Dolce & Gabbana” และในคอลเลกชัน “Alta Gioielleria” นี้ พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่า “ความงดงาม” คือ “มรดกทางศิลปะที่สวมใส่ได้” โดยมีลักษณะเด่นดังนี้
- แรงบันดาลใจจากซิซิลี เครื่องประดับหลายชิ้นได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรม ประเพณี และวัฒนธรรมของซิซิลี (บ้านเกิดของ Domenico Dolce) สัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น กางเขนและพระแม่มารีย์ ลวดลายพื้นบ้านจากซิซิลี ล้วนถูกนำมาตีความใหม่ผ่านอัญมณีล้ำค่า
- งานฝีมือชั้นเลิศ เครื่องประดับแต่ละชิ้นผลิตโดยช่างฝีมือชั้นสูงในอิตาลี ซึ่งใช้เวลานับพันชั่วโมงในการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคโบราณอย่าง filigree (ลายประดับโลหะ) และ twisted wire (ลวดพัน) ถูกนำมาใช้อย่างพิถีพิถัน
- เทคนิคไมโครโมเสก (Micro Mosaics) หนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเครื่องประดับ Alta Gioielleria คือการใช้เทคนิคไมโครโมเสก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโมเสกที่ประดับใน St. Mark's Basilica (มหาวิหารซันมาร์โก) มีช่างฝีมือเพียงไม่กี่คนที่สามารถผลิตโมเสกขนาดเล็กได้โดยใช้กรรมวิธีโบราณในการหมุนและดึงแก้วร้อนที่หลอมเหลว วัสดุแก้วเคลือบจะถูกให้ความร้อนบนเปลวไฟและ “ปั่นด้วยมือ” ปล่อยให้แท่งไม้เย็นตัวและแข็งตัวก่อนจะแยกด้วยมือทีละแท่งจนเป็นแผ่นเล็กๆ ที่เรียกว่า Tesserae (เทสเซอรี)
- วัสดุและอัญมณีคุณภาพสูง การใช้วัสดุและอัญมณีมีค่าที่คัดสรรอย่างพิถีพิถันมาประกอบในแต่ละชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นทองคำ (ขาว, เหลือง, ชมพู) เพชร มรกต ทับทิม ไพลิน หรือวัสดุพิเศษอื่น ๆ เช่น ปะการัง
- ความเป็นเอกลักษณ์ แต่ละชิ้นมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นความเป็น one-of-a-kind หรือมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ซึ่งสะท้อนปรัชญาของเครื่องประดับชั้นสูง ทั้งยังบอกเล่าเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับยุค Renaissance (เรอแนซ็องส์) หรือวัฒนธรรม Venetian (เวเนเชียน)
- อนุรักษ์มรดกช่างศิลป์อิตาเลียน “ผลงานทุกชิ้นที่นี่เป็นการยืนยันถึงความเป็นเลิศทางศิลปะของประเทศเรา” Domenico Dolce กล่าว “นั่นคือสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดของคอลเลกชันเครื่องประดับชั้นสูงแห่งเวนิสของเรา”
การก้าวเข้าสู่วงการเครื่องประดับของ “Dolce & Gabbana” นับเป็นความกล้าหาญของแบรนด์ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองในโลกของงานหัตถศิลป์ชั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งความเชี่ยวชาญและการลงทุนมหาศาล ปัจจุบัน Dolce & Gabbana ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นไม่กี่แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่วงการเครื่องประดับชั้นสูง สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและความทุ่มเทในการรักษามาตรฐานงานฝีมือชั้นสูงของอิตาลีเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
คำแนะนำพิเศษ: หนังสือแนะนำเกี่ยวกับคลอเลกซัน “Alta Gioielleria” จากแบรนด์ Dolce & Gabbana
สำหรับผู้หลงใหลในเครื่องประดับและศิลปะอิตาเลียนแบบดั้งเดิม หนังสือสองเล่มนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด ✨มีให้บริการที่ “ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ” ชั้น 1 ไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม กรุงเทพฯ
เมื่องานศิลปะถูกบรรจุลงบนหน้ากระดาษ หนังสือเล่มนี้คือสิ่งที่ถ่ายทอดความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมในสไตล์อิตาลีแบบดั้งเดิมได้อย่างสมบูรณ์แบบผ่านภาพถ่ายคุณภาพ พร้อมเรื่องราวเบื้องหลังของแต่ละชิ้นงานที่ผสานแฟชั่นกับวัฒนธรรมอิตาลี
หนังสือเล่มนี้รวบรวมผลงานสุดล้ำค่าของเสื้อผ้าในคอลเลกชัน Alta Moda และ Alta Sartoria รวมถึงเครื่องประดับชั้นสูงจากคอลเลกชัน Alta Gioielleria โดยผู้เขียน Florence Müller พาผู้อ่านดื่มด่ำกับมรดกวัฒนธรรมอิตาลีของ Dolce & Gabbana และเบื้องหลังเทคนิคอันประณีตในทุกชิ้นงาน
หากใครที่สนใจเรื่องราวของอัญมณีและเครื่องประดับ สามารถสืบค้นหนังสือได้ที่ SEARCH ON OPAC ได้จาก https://elibrary.git.or.th/ หรือเข้ามาใช้บริการอ่านหนังสือได้ที่ ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม เปิดให้บริการวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์