ตำนานรักเชสเตอร์ บีตตี้: เสน่ห์แห่งเครื่องประดับ 'เพริดอต' จากคาร์เทียร์
เดือนสิงหาคมถูกขนานนามว่าเป็นเดือนแห่ง เพริดอต (Peridot) อัญมณีสีเขียวมะกอกสดใสที่เปล่งประกายความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่เพียงแต่เป็น "อัญมณีประจำเดือนสิงหาคม" แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังชีวิต ความสมบูรณ์ และความรักอันมั่นคง
หนึ่งในเครื่องประดับเพริดอตที่น่าจดจำที่สุด คือ ชุดเครื่องประดับเพริดอตและเพชรสุดวิจิตรงดงามของคู่รัก "Chester Beatty" (เชสเตอร์ บีตตี้) ผลงานการรังสรรค์ของแบรนด์ระดับโลก Cartier (คาร์เทียร์) ซึ่งยังคงเป็นตำนานแห่งความรักและรสนิยมอันประณีตมาจนถึงทุกวันนี้
เพริดอตเซตจากคาร์เทียร์
ชุดเครื่องประดับนี้ประกอบด้วย สร้อยคอและกำไลเข้าชุดกัน ที่คู่รักเชสเตอร์ บีตตี้ สั่งทำเป็นพิเศษซึ่งผลิตโดย "คาร์เทียร์ ลอนดอน" ประมาณปี 1936 ประดับด้วยเพริดอตน้ำหนักรวมกว่า 325 กะรัต และเพชรบนตัวเรือนแพลทินัม การออกแบบมีความคล้ายคลึงกับผลงานร่วมสมัยของคาร์เทียร์ในยุคเดียวกัน อย่างเช่น Cartier Aquamarine Pineflower Tiara หรือ รัดเกล้าอะความารีนลายไพน์ฟลาวเวอร์จากคาร์เทียร์ ของเจ้าหญิงแอนน์ (Princess Royal) ที่สร้างขึ้นในปี 1948 ซึ่งเป็นยุคทองแห่งงานศิลป์และเครื่องประดับชั้นสูง ทั้งยังมีผลงานเครื่องประดับที่รังสรรค์จากแบรนด์ คาร์เทียร์ อีกเป็นจำนวนมาก

ตำนานคู่รักเชสเตอร์ บีตตี้
Alfred Chester Beatty (อัลเฟรด เชสเตอร์ บีตตี้) เกิดที่นิวยอร์กในปี 1875 จบการศึกษาด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เริ่มทำงานด้านเหมืองในอเมริกาตะวันตก และก้าวสู่ความมั่งคั่งจากการเป็นผู้บริหารบริษัท Guggenheim Exploration
ปี 1908 เขาเปิดสำนักงานที่ปรึกษาด้านเหมืองแร่ในนิวยอร์ก ก่อนที่จะย้ายไปลอนดอนและก่อตั้งบริษัท Selection Trust ในปี 1914 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมเหมืองโลก ทำให้อัลเฟรดได้รับฉายา "King of Copper" หรือ "ราชาแห่งทองแดง" หลังการเสียชีวิตของภรรยาคนแรก อัลเฟรดแต่งงานกับ Edith Dunn (เอดิธ ดันน์) ในปี 1913 ทั้งสองย้ายไปอยู่ Baroda House คฤหาสน์หรูที่ Kensington Palace Gardens และกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ทรงอิทธิพลในสังคมอังกฤษ
จากคฤหาสน์สู่โรงพยาบาลทหาร
ในปี 1918 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อัลเฟรดและเอดิธเสนอให้ใช้บ้านพัก Baroda House เป็นโรงพยาบาลสำหรับนายทหารอเมริกัน ภายใต้การดูแลของกาชาดสหรัฐฯ หรือที่รู้จักในชื่อ American Red Cross Hospital No. 24 โดยพวกเขายังออกค่าใช้จ่ายในการตกแต่งและดำเนินการบางส่วนด้วย ทำให้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมอังกฤษมากยิ่งขึ้น
เอดิธ เชสเตอร์ บีตตี้: หญิงผู้เปล่งประกาย
Edith Chester Beatty (เอดิธ เชสเตอร์ บีตตี้) เป็นที่รู้จักในนาม "Mrs. Chester Beatty" หรือ "นางเชสเตอร์ บีตตี้" เธอเป็นเจ้าของคอกม้าแข่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และยังเป็นนักสะสมศิลปะตัวยง ในขณะที่อัลเฟรดยังคงทำงานเหมืองและสะสมสิ่งล้ำค่า เช่น แสตมป์ ขวดยาสูบ รูปปั้นญี่ปุ่นขนาดเล็ก ภาพวาด และโดยเฉพาะต้นฉบับโบราณ (Manuscripts) ยิ่งกว่านั้น คู่รักผู้นี้ยังคงเป็นลูกค้าคนสำคัญของคาร์เทียร์ตลอดหลายสิบปี ที่นิยมสั่งทำเครื่องประดับพิเศษ เพื่อสะท้อนรสนิยมและความมั่งคั่งของตนเอง
กำเนิดเครื่องประดับเพริดอต
ในหนังสือ Cartier (2025) edited by Helen Molesworth and Rachel Garrahan ได้บันทึกไว้ว่า "ครอบครัว เชสเตอร์ บีตตี้ ใช้ชีวิตช่วงฤดูหนาวที่ไคโร ระหว่างปี 1914-1930 และนั่นน่าจะเป็นที่มาของเพริดอตสวยงามชุดนี้ เนื่องจากในเวลานั้น อียิปต์เป็นแหล่งเพียงแห่งเดียวที่มีเพริดอตคุณภาพสูง"
มรดกทางวัฒนธรรมและตำนานรักที่คงอยู่
คู่สามีภรรยานี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวงสังคมชั้นสูงในอังกฤษเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ทั้งในวงการแข่งม้าและแวดวงพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะ อัลเฟรด ที่มีบทบาทสำคัญและมีความสัมพันธ์อันดีกับ British Museum (บริติชมิวเซียม) โดยเขาได้บริจาคงานศิลปะหลายชิ้นให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก่อนจะมีเรื่องขัดแย้งกับผู้อำนวยการของบริติชมิวเซียม ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจย้ายออกจากอังกฤษและไปตั้งรกรากที่ประเทศไอร์แลนด์ในปี 1950 และก่อตั้ง ห้องสมุดเชสเตอร์ บีตตี้ (Chester Beatty Library) ขึ้นเพื่อจัดเก็บและจัดแสดงคอลเล็กชันงานศิลปะและต้นฉบับโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ซึ่งต่อมาห้องสมุดแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสถาบันทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของไอร์แลนด์
ในขณะที่ เอดิธ ยังคงอยู่อาศัยอยู่ในลอนดอนและเสียชีวิตที่บาโรดาเฮาส์ในปี 1952 ส่วน อัลเฟรด มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี เขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ "Knighted" (ไนท์เท็ด) หรือ"อัศวิน" จากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1954 เพื่อยกย่องที่เขาเป็นผู้สนับสนุนสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อัลเฟรด เชสเตอร์ บีตตี เสียชีวิตในปี 1968 ที่ เมืองมอนเตการ์โล (Monte Carlo) ประเทศโมนาโก ด้วยวัย 92 ปี และได้รับการจัดพิธีศพของรัฐในไอร์แลนด์อย่างสมเกียรติ
เพริดอตแห่งรักที่ยังส่องประกาย
แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ แต่ชื่อเสียงของคู่สามีภรรยาผู้นี้ และเครื่องประดับเพริดอตเซตนี้ยังคงเปล่งแสงอยู่ในประวัติศาสตร์ ทั้งในฐานะ ผลงานมาสเตอร์พีซของคาร์เทียร์ และ สัญลักษณ์แห่งความรัก ความมั่งคั่ง รสนิยม และมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังคงส่องแสงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย ซึ่งทำให้เรื่องราวของเครื่องประดับชุดนี้ยังคงเป็นตำนานรักที่สะท้อนความล้ำค่าอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงในแง่ของฝีมือช่างและความหรูหรา แต่ยังเป็นเรื่องราวของความรักระหว่างสามี-ภรรยาที่มีรสนิยมและความหลงใหลร่วมกัน
อัลเฟรดและเอดิธได้นำเพริดอตที่เก็บสะสมจากอียิปต์ มาสร้างคุณค่าให้เกิดความหมายใหม่ แทนที่จะเก็บอัญมณีเหล่านั้นไว้เป็นเพียงของสะสม ด้วยการมอบหมายให้คาร์เทียร์รังสรรค์ออกมาเป็นชุดเครื่องประดับอันวิจิตรบรรจง เพื่อให้เอดิธได้สวมใส่และใช้ชีวิตร่วมกับมันอย่างแท้จริง ซึ่งความพิเศษไม่ได้อยู่แค่ที่น้ำหนักเพริดอตกว่า 325 กะรัตหรือการตกแต่งด้วยเพชรและแพลตินัม แต่อยู่ที่ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง มันเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางร่วมกัน การสะสมความทรงจำจากชีวิตในต่างแดน และการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นงานศิลปะอันทรงคุณค่า
ปัจจุบัน ชุดเครื่องประดับเพริดอตของ เอดิธ เชสเตอร์ บีตตี้ เป็นหนึ่งใน "Cartier Collection" ที่ได้นำมาจัดแสดงอีกครั้งในปี 2025 ภายในนิทรรศการของคาร์เทียร์ที่ Victoria and Albert Museum (V&A) หรือพิพิธภัณฑ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต ในกรุงลอนดอน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวตำนานรักที่วิจิตรงดงามเหนือกาลเวลา การที่เครื่องประดับชุดนี้ได้ถูกเลือกมาจัดแสดงนั้นได้สะท้อนให้ผู้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะที่ยังคงเปล่งแสงจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าเครื่องประดับที่แท้จริงไม่ใช่แค่สิ่งของที่มีค่า แต่เป็นเรื่องราวของชีวิต ความรัก และความฝันที่ถูกเก็บรักษาไว้ในรูปของงานศิลปะสวยงาม
ตำนานรักของเชสเตอร์ บีตตี้และเครื่องประดับเพริดอตจากคาร์เทียร์จึงเป็นมากกว่าเรื่องราวของความหรูหรา แต่เป็นเรื่องราวของความรักแท้จริง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งไม่ธรรมดา และทำให้ความทรงจำกลายเป็นมรดกที่จะอยู่คู่โลกตลอดไป
หากใครสนใจ Cartier edited by Helen Molesworth and Rachel Garrahan และเรื่องราวของ "อัญมณีและเครื่องประดับ" สามารถสืบค้นหนังสือได้จาก https://elibrary.git.or.th/ หรือเข้ามาใช้บริการอ่านหนังสือได้ที่ 'ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ' ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม เปิดให้บริการวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์