หน้าหลัก

Tiffany & Co. กับการฟื้นคืนชีพในภาพยนตร์ 'Frankenstein'

Admin J. ตุลาคม 28, 2025 592 0

เมื่อเครื่องประดับกลายเป็น “ตัวละครหนึ่งของเรื่องราว”... ในค่ำคืนแห่งฮาโลวีนที่หมอกหนาปกคลุมเหนือมหานครนิวยอร์ก เรื่องเล่าสุดคลาสสิกของ Frankenstein ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้มาพร้อมการช็อตไฟฟ้าและห้องทดลองลึกลับ หากแต่เป็น "เครื่องประดับชั้นสูงจาก Tiffany & Co."


ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ของวงการอัญมณีและภาพยนตร์ เมื่อ Tiffany & Co. (ทิฟฟานี แอนด์ โค)แบรนด์เครื่องประดับระดับตำนานได้เปิดประตูสู่โลกแห่งความงามและความสยองในเวลาเดียวกัน ด้วยการคืนชีพเครื่องประดับหายากกว่า 27 ชิ้น จากคลังสมบัติเก่าแก่ เพื่อใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "Frankenstein" (แฟรงเกนสไตน์) เวอร์ชั่นล่าสุด ของผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ Guillermo del Toro (กิลเลียโม เดล โตโร) ซึ่งจะออกฉายทาง Netflix (เน็ตฟลิกซ์) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568




ชุบชีวิตอัญมณีในตำนาน ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ในโครงการนี้ Tiffany & Co. ได้รวบรวมเครื่องประดับหายากจาก Archival Jewels (อาร์ไคฟ์ จิวเวลส์) ผสานกับผลงานร่วมสมัยจากคอลเลกชัน High Jewelry (ไฮจิวเวลรี่) เพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์ โดยทั้งหมดนี้เป็นการร่วมงานอย่างเป็นทางการกับ Netflix เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์

เครื่องประดับทุกชิ้นถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน เพื่อถ่ายทอดธีมหลักของภาพยนตร์ ได้แก่ “ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity), ความเป็นคู่ตรงข้าม (Duality), และการเปลี่ยนแปลง (Transformation)” ทั้งหมดจึงไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบฉาก แต่คือภาษาทางศิลปะที่ช่วยเสริมพลังให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างสมจริง


เครื่องประดับเก่าแก่ที่ไม่เคยเผยโฉมที่ใดมาก่อน


สร้อยคอเวด (Wade Necklace)

สร้างขึ้นในปี 1900 ตัวเรือนทำจากแพลทินัม ประดับด้วยเพชรเจียระไนแบบ Old Mine Cut (โอลด์ ไมน์ คัท) รวมกว่า 40 กะรัต ผลงานชิ้นนี้ถูกสร้างเพื่อ Ellen Garretson Wade (เอลเลน แกร์เร็ตสัน เวด) สตรีชั้นสูงแห่งเมืองคลีฟแลนด์ ก่อนหน้าการถ่ายทำ Frankenstein ไม่เคยมีใครได้สวมใส่สร้อยเส้นนี้นอกจากเจ้าของเดิม

เมื่อ Christopher Young (คริสโตเฟอร์ ยัง) รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายมรดกของ Tiffany & Co. ได้นำสร้อยชิ้นนี้มาสวมให้กับนักแสดง Mia Goth (มียา ก็อธ) ผู้รับบท Elizabeth (เอลิซาเบธ) เขากล่าวว่า “มันพอดีกับเธออย่างสมบูรณ์แบบ — แสงเทียนที่ผู้กำกับ Guillermo เลือกใช้ ทำให้เพชรส่องประกายในแบบที่วัสดุเลียนแบบไม่อาจทำได้”


สร้อยคอสคารับ (Scarab Necklace)

สร้อยคอรูปแมลงสคารับสองแถว สร้างขึ้นในปี 1914 หนึ่งในผลงานหายากจากเวิร์กช็อปของ Louis Comfort Tiffany (ลูอิส คอมฟอร์ต ทิฟฟานี) Mia Goth ได้สวมใส่สร้อยคอชิ้นนี้ในหลายฉากสำคัญของภาพยนตร์


นาฬิกาพกของลีโอโพลด์ แฟรงเกนสไตน์ (Leopold Frankenstein’s Pocket Watch)

นาฬิกาพกที่ Tiffany & Co. สร้างขึ้นใหม่โดยอ้างอิงดีไซน์ศตวรรษที่ 19 และสลักตราประจำตระกูล Frankenstein ไว้บนฝาหลัง เพื่อเพิ่มความสมจริง ผู้สวมใส่คือ Charles Dance (ชาร์ลส์ แดนซ์) ผู้รับบทเป็น Leopold Frankenstein (ลีโอโพลด์ แฟรงเกนสไตน์) บิดาของ Victor Frankenstein (วิกเทอร์ แฟรงเกนสไตน์)


Photo Credit: https://www.tiffany.com/


เบื้องหลังการสร้างสรรค์และมาตรการรักษาความปลอดภัยระดับสูง


ความร่วมมือเริ่มต้นจากการพูดคุยระหว่าง Christopher Young และ Kate Hawley (เคต ฮอว์ลีย์) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซึ่งเสนอให้ใช้เครื่องประดับจริงของ Tiffany เพื่อสะท้อนความหรูหราและความสมจริงของยุคสมัย ผู้กำกับ Guillermo del Toro กล่าวด้วยอารมณ์ขันว่า “เรามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสำหรับเครื่องเพชรของ Tiffany มากกว่าที่เรามีให้กับดาราหลายคนในกองถ่ายเสียอีก”


จากจอภาพยนตร์ สู่ “The Landmark” บนถนน Fifth Avenue


หลังการถ่ายทำ เครื่องประดับเหล่านี้ถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษที่ “The Landmark” แฟล็กชิปสโตร์ของ Tiffany & Co. บนถนน Fifth Avenue (ฟิฟท์ อเวนิว) ในนิวยอร์ก นิทรรศการนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่าง Tiffany กับ Guillermo del Toro ซึ่งได้ให้ยืมฉากจำลองบางส่วนจากภาพยนตร์มาใช้เป็นฉากหลังในการจัดแสดงเครื่องประดับจริงที่ปรากฏในภาพยนตร์ ควบคู่กับผลงานร่วมสมัยที่เกี่ยวข้อง


Christopher Young กล่าวว่า “Guillermo เป็นศิลปินที่ใส่ใจรายละเอียดทางสัมผัส (Tactile Artist) มาก เขามองว่าตู้โชว์เหล่านี้เป็นเหมือนโรงละครข้างถนน การนำฉากจำลองจากภาพยนตร์มาสร้างประสบการณ์เชิงศิลปะสำหรับผู้ชมจึงเป็นแนวคิดของเขาเอง เพราะเขาเป็นทั้งศิลปินและนักเล่าเรื่องอย่างแท้จริง”


Photo Credit: https://www.tiffany.com/


ประสบการณ์แบบ Immersive Display

นิทรรศการถูกออกแบบให้ผู้ชมดื่มด่ำกับประสบการณ์ Immersive Display (อิมเมอร์ซีฟ ดิสเพลย์) ผสานองค์ประกอบดิจิทัล แสง สี เสียง และแอนิเมชัน เข้ากับเพลงประกอบจาก Alexandre Desplat (อเล็กซองด์ เดสปลาต) ผู้คว้ารางวัลออสการ์จาก The Shape of Water (2017) Young แนะนำว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าชมคือหลัง 19.00 น. ซึ่งแสง สี และเสียงจะทำงานประสานกันเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างประสบการณ์เฉลิมฉลองภาพยนตร์รอบละประมาณ 10 นาที โดยนิทรรศการจะเปิดให้ชมถึง 3 พฤศจิกายน 2025 และจะเดินทางต่อไปยัง Selfridges London (เซลฟริดเจส ลอนดอน) ระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 2025

หนังสืออ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์ Tiffany & Co.


หากคุณหลงใหลในประกายเพชรและเรื่องราวเบื้องหลังความหรูหราของแบรนด์ระดับตำนาน Tiffany & Co. หนังสือแนะนำเหล่านี้เป็นหนังสือที่ไม่ควรพลาดและควรค่าแก่การศึกษาและสะสม เพราะแต่ละเล่มไม่เพียงถ่ายทอดความงามของอัญมณี แต่ยังสะท้อนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนวงการเครื่องประดับมาตลอดศตวรรษ


Tiffany & Co.: The Story Behind the Style by Rachael Taylor

หนังสือที่เล่าเรื่องราววิวัฒนาการของแบรนด์ Tiffany & Co. ตั้งแต่ยุคแรกในศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคปัจจุบัน ผ่านชิ้นงานไอคอนิกอย่าง The Tiffany Setting, Atlas Collection, และ Tiffany Lock ถ่ายทอดความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะ แฟชั่น และสังคมอเมริกันได้อย่างทรงพลัง


The Tiffany Archives by Henry Leutwyler

รวมภาพถ่ายและเอกสารหายากจากคลังประวัติศาสตร์ของ Tiffany & Co. เผยให้เห็นเบื้องหลังการออกแบบเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่ที่ถูกเก็บรักษาไว้กว่าร้อยปี เหมาะสำหรับนักวิจัย ศิลปิน และผู้ที่สนใจด้านประวัติศาสตร์อัญมณี


Tiffany Style: 170 Years of Design by John Loring 

หนังสือภาพสุดคลาสสิกที่รวมผลงานดีไซน์จากยุค Louis Comfort Tiffany จนถึงคอลเลกชันร่วมสมัย ถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ของ “Tiffany Blue” และภาษาการออกแบบที่เป็นตำนานของแบรนด์


หากใครสนใจศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเครื่องประดับชั้นสูงจากแบรนด์ “Tiffany & Co.” (ทิฟฟานี แอนด์ โค) หรือเรื่องราวของ “อัญมณีและเครื่องประดับ” สามารถสืบค้นหนังสือได้จาก https://elibrary.git.or.th หรือเข้ามาใช้บริการอ่านหนังสือได้ที่​ ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ​ ตั้งอยู่ที่​ชั้น​ 1​ อาคารไอทีเอฟ​ ทาวเวอร์​ ถนนสีลม​ เปิดให้บริการวันจันทร์-วันศุกร์​ เวลา​ 08.30-16.30 น.​ หยุดวันเสาร์-อาทิตย์​ ​และวันหยุดนักขัตฤกษ์​




URL อ้างอิง:
external-site